Final Fantasy VII Rebirth เกมภาคต่อจาก Final Fantasy VII Remake ที่ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้เล่น สำหรับการนำเสนอลูกเล่น Open-World ที่ละเอียดและไร้รอยต่อ ซึ่งโปรดิวเซอร์ของเกมเผยว่ามันจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากทีมพัฒนาโฟกัสไปที่การสร้างเกมแบบมัลติแพลตฟอร์ม
Final Fantasy VII Rebirth ลง PS5 แพล็ตฟอร์มเดียวทำให้สร้างได้ง่ายขึ้น
Yoshinori Kitase โปรดิวเซอร์เกม Final Fantasy VII Rebirth ให้สัมภาษณ์กับทาง The Washington Post ว่าการพัฒนาเกมดังกล่าวลง PS5 เท่านั้น ส่งผลให้ทีมสามารถสร้างโลก Open-World อันกว้างใหญ่และดึงดูดผู้เล่นได้โดยก้าวข้ามข้อจำกัดของภาค Remake ไปได้สบาย ๆ โดยในโลกที่เปิดกว้างนี้มีกิจกรรมเสริมมากมาย ตั้งแต่การเก็บรวบรวมทรัพยากรและคราฟอุปกรณ์ ไปจนถึงการทำเควสย่อย ล่ามอนสเตอร์ และขี่ Chocobo ท่องเที่ยวไปเรื่อย ๆ
คุณ Kitase ได้บอกว่าหากทีมไม่ได้พัฒนา Rebirth ลงแค่แพลตฟอร์มเดียวแบบนี้ แผนที่โลกของเกมจะไม่ราบรื่นไร้รอยต่อขนาดนี้ อีกทั้งเขาก็ยอมรับว่า “การออกแบบเกมอาจจะต้องลดทอนลงไปอย่างมาก”
โปรดิวเซอร์ยังอธิบายเพิ่มเติมว่าการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ใหม่ และอัตราการอยู่กับบริษัทของพนักงานถึง 80% ส่งผลให้การพัฒนาเกมทำได้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับ Final Fantasy VII Remake โดยข้อได้เปรียบนี้ ช่วยให้ทีมงานพัฒนาเกมหลีกเลี่ยงสิ่งที่เสียเวลาที่มักจะเกิดขึ้นจากการรวมทีมใหม่ทั้งหมดคำพูดจาก เว็บเดิมพันออนไลน์
Final Fantasy VII Rebirth เกมภาคต่อของ Final Fantasy VII Remake ที่วางจำหน่ายตั้งแต่ 29 ก.พ. 2024 บน PlayStation 5 ผู้เล่นจะได้ติดตามการผจญภัยของ Cloud และผองเพื่อนเพื่อตามล่า Sephiroth บนแผนที่ที่มีสเกลใหญ่ขึ้น พร้อมสำรวจประวัติเบื้องหลังของตัวละครต่าง ๆ เกมมีทั้งหมด 2 แผ่น เตรียมตัวให้พร้อม เพราะว่าการผจญภัยในครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่าเดิมแน่นอน!
FINAL FANTASY VII REBIRTH